เข้าวันที่ 4 ของการสืบสวนเหตุเพลิงไหม้โกดังเถื่อน ใน อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา วันนี้ เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน (พฐ.) ส่วนกลาง พร้อมหลายหน่วยงานระดมกำลังเข้าพื้นที่
โดยเจ้าหน้าที่พบอุปกรณ์จุดระเบิด ภายในโกดังสารเคมีเถื่อน หลังเกิดเหตุเพลิงไหม้ภายในโกดังกลางดึกวันที่ 29 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา โดยมีลักษณะเป็นขวดน้ำ และถังน้ำเล็กๆ ซึ่งภายในบรรจุปูนซีเมนต์ด้านล่าง มีน้ำมันด้านบน และระเบิดปิงปองบริเวณปากขวด เชื่อมกับธูปที่ใช้จุดไฟ เป็นหลักฐานสำคัญทำให้เจ้าหน้าที่เชื่อว่าเหตุที่เกิดขึ้นเป็นการวางเพลิง
อยุธยาไฟไหม้โรงงานเก็บสารเคมี เทศบาลภาชีแจ้งสวมหน้ากากหวั่นอันตรายจากควัน
รถดับเพลิงกว่า 30 คันคุมไฟไหม้โรงงานกระดาษ
หลักฐานที่พบ ทำให้วันนี้ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ ลงพื้นที่ พร้อมรองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม, นายอำเภอภาชี, ตำรวจ ปทส. และ ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา เพื่อร่วมกันตรวจสอบเพิ่มเติม
จากการตรวจสอบวันนี้ นอกเหนือจากอุปกรณ์จุดระเบิด ที่พบแล้ว อย่างน้อย 28 จุด ภายในโกดัง 1-3 ที่เจ้าหน้าที่สามารถเข้าไปตรวจสอบได้ เจ้าหน้าที่พบหลักฐานเพิ่มเติม คือ โหลแก้วบรรจุ “อลูมิเนียม พาวเดอร์” ซึ่ง พล.ต.ท.ไตรรงค์ เปิดเผยว่า พบโหลแก้วลักษณะนี้วางกระจายไว้หลายจุด เป็นวัตถุที่หากเจอความร้อน จะทำให้เกิดการระเบิดต่อเนื่องรุนแรง ทำให้เชื่อว่า ผู้ที่เข้ามาลักลอบวางเพลิง ไม่ได้ต้องการให้ไฟไหม้เพียงโกดัง 1 และ 2 ตามที่เกิดเหตุ แต่ต้องการเผาทำลายพยานหลักฐานที่ถูกเก็บไว้ในทั้ง 5 โกดัง โดยมีร่องรอยการจุดธูปที่อุปกรณ์จุดระเบิดในโกดัง 3 ที่เชื่อมต่อกับโกดัง 4-5 แต่โชคดีที่อุปกรณ์จุดระเบิดในโกดัง 3 ไม่ทำงาน ทำให้โกดังฝั่งนี้ไม่ได้รับความเสียหาย
นอกจากนี้ ยังพบว่า รถบรรทุกหลายคันที่ถูกจอดไว้ในพื้นที่โกดัง ที่มีการวางอุปกรณ์จุดระเบิดไว้ด้วย ถูกถอดวัสดุที่มีค่าออกไป เช่น เครื่องยนต์ แบตเตอรี่ รวมถึงเพลารถ ทำให้ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ตั้งข้อสังเกต ว่า เป็นการวางแผนล่วงหน้า และ ไม่น่าจะทำวันเดียวได้
นอกจากบริเวณด้านในโกดัง เจ้าหน้าที่ยังตรวจสอบเส้นทางด้านหลังโกดังเชื่อมต่อกับที่นาของชาวบ้าน ซึ่งคาดว่า เป็นจุดที่คนร้ายเข้ามาก่อเหตุ เพราะมีเพียงรั้วลวดหนามเส้นเดียวกั้น และพบถังผสมปูน 2 ถัง สอดคล้องกับที่พบว่า มีการใช้ปูนเทท่วงน้ำหนักขวดน้ำที่ใช้เป็นอุปกรณ์จุดระเบิด
ส่วนโกดังที่ 4-5 ยังไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบได้ เนื่องจากเต็มไปด้วยสารระเหยอัดแน่น เป็นสารก่อมะเร็งและไวไฟ รวมถึงพื้นที่มีลักษณะปิดทึบ หากเข้าไปอาจเป็นอันตรายต่อเจ้าหน้าที่
พล.ต.ต.โชติวัฒน์ เหลืองวิลัย ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ยืนยันว่า แนวทางการสืบสวนสอบสวนของตำรวจ จะสืบสวนว่า มีใครได้ประโยชน์ หรือเสียประโยชน์จากการวางเพลิงครั้งนี้ ซึ่งยังไม่รู้ตัวคนเผา แต่เชื่อว่า ใช้เวลาไม่นานเพราะคนร้ายย่อมทิ้งร่องรอยเอาไว้ โดยเบื้องต้นคงต้องมีการเรียกเจ้าของโรงงาน รวมถึงบริษัทที่ถูกดำเนินคดีลักลอบทิ้งสารเคมีมาสอบถาม
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่พบความเชื่อมโยงระหว่างกลุ่มผู้วางเพลิง กับบริษัทที่ลักลอบทิ้งสารเคมี และเชื่อว่าการวางเพลิงเผาทำลายสารเคมีครั้งนี้ ไม่มีผลต่อรูปคดีการลักลอบทิ้งสารเคมี ที่ค้างอยู่ในชั้นสืบสวนสอบสวนของตำรวจ บก.ปทส. เพราะน่าจะมีการตรวจสอบของกลางไว้หมดแล้ว
หลักฐานที่ส่อเจตนาเผาทำลายสารเคมีทั้ง 4,000 ตันในโรงงาน ทำให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม เตรียมพบพนักงานสอบสวน สภ.ภาชี อีกครั้ง เพื่อลงบันทึกประจำวันเพิ่มเติ่ม โดย นายสุนทร แก้วสว่าง รองอธิบดีฯ เตือนคนที่ลงมือก่อเหตุ ว่า เป็นสิ่งที่ไม่สมควรทำ เพราะควันจากการเผาไหม้สารเคมีที่ถูกเก็บไว้ในโรงงานมีฤทธิ์เป็นกรด หากชาวบ้านโดยรอบสูดดมไปจะเป็นอันตรายกับระบบทางเดินหายใจ
ขณะที่ความคืบหน้า ในการเตรียมเคลื่อนย้ายสารเคมีไปกำจัด นายสุนทร เปิดเผยว่า จากการประชุมฝ่ายที่เกี่ยวข้องช่วงเช้าที่ผ่านมา ได้ข้อสรุปว่า เฟสแรก จะใช้งบประมาณปี 67 ของกรมฯ 6.9 ล้านบาท ในการเร่งจำแนกสารเคมีแต่ละชนิด และนำสารเคมีที่ต้องกำจัดอย่างเร่งด่วนไปกำจัดก่อน ซึ่งต้องรอ พ.ร.บ.งบประมาณฯ ผ่านการพิจารณาก่อน
ส่วนเฟสสองคือรอการจัดสรรงบกลาง ที่คาดว่าจะต้องใช้ไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาท โดยคาดว่าจะใช้เวลาราว 7-8 เดือน ในการกำจัดสารเคมีทั้งหมดในโรงงาน คาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในปี 2567
ผลบอลพรีเมียร์ลีก แมนซิตี้ แซงชนะ แมนยู 3-1 โฟเด้น เบิ้ล
“โยเกิร์ต” มูฟออนคำพูดจาก ทดลองเล่นสล็อต! ลบเกลี้ยงทุกอย่างเกี่ยว “พีเค” ด้านนางแบบเวียดนามเคลื่อนไหว หลังถูกเอี่ยวดราม่า
กยศ.คืนเงินลูกหนี้ 3,494 ราย 97 ล้านบาท หลังใช้เกณฑ์คำนวณหนี้ใหม่